ทะลายวงจรอุบาทว์ 3 ป. ขับเคลื่อนไทยสู่ The Second Great Reform
ทะลายวงจรอุบาทว์ 3 ป.
ขับเคลื่อนไทยสู่
The Second Great Reform
มูลนิธิสัมมาชีพ จัดอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงรุ่นที่ 12 ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เมื่อ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา มี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีต รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นวิทยากรในหัวข้อ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปใหญ่ครั้งที่สอง (The Second Great Reform)”
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เชื่อว่า การขับเคลื่อนไทยสู่การเปลี่ยนแปลงระดับ The Second Great Reform ต้องกล้าทำลายวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน ซึ่งทำให้แก่นรากปัญหาของประเทศที่ซุกไว้ด้วย 3 ป.จนซ้อนทับ หมักหมม ฉุดรั้งไม่ให้ไทยได้พัฒนาไปสู่สังคม“ความเป็นมนุษย์” อีกทั้งยังจมปรักกับโครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจ-การเมืองกระจุกตัว เน้นปกครองแบบอำนาจนิยมจากบนลงล่างด้วยระบบอุปถัมภ์ โอบอุ้มอภิสิทธิ์ชน
การทำลายโครงสร้างอำนาจวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน ที่หนุนส่งอำนาจ 3 ป. คือ “การประท้วง” ต่อต้านการ “ปฏิวัติรัฐประหาร” แล้วลงท้ายได้ “ประชาธิปไตยเทียม” ซึ่งดำรงอยู่กับสังคมไทยมาตั้งแต่ปี 2475 ซึ่งถ้าไทยก้าวพ้นได้ การพัฒนาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ก้าวทันประชาคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่การให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์มากขึ้น ย่อมทำให้ไทยมีที่ยืนอยู่บนความสัมพันธ์แบบหนึ่งโลกใบเดียวและหนึ่งชะตากรรมร่วมกัน
ดร.สุวิทย์ เชื่อว่า ไทยมีการปฎิรูปใหญ่อย่างเป็นระบบครั้งแรกเมื่อสมัย ร.5 เพื่อทำประเทศให้ทันสมัยเนื่องจากถูกภัยคุกคามจากนักล่าอาณานิคมภายนอกประเทศ จากนั้นเป็นต้นมามีแต่การปฏิรูปแบบสะเปะสะปะ ค่อยเป็นค่อยไปจนถึงปัจจุบัน จึงมีโจทย์ว่า ถึงเวลาต้องปฏิรูปใหญ่ครั้งที่สองหรือไม่
ทิศทางโลกมุ่งหาความเป็นมนุษย์ร่วม
เมื่อโลกมีทิศทางการพัฒนาเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นความทันสมัยไปสู่ความยั่งยืนและความเท่าเทียมกัน อีกทั้งประชาคมโลกถูกเชื่อมต่อกันสนิท ทำให้สัมพันธ์โลกอยู่ร่วมเป็นใบเดียวกัน มีหนึ่งเศรษฐกิจและต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมร่วมกัน
นอกจากนี้ อารยธรรมโลกเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ เปลี่ยนจากความเชื่อที่ว่า มนุษย์เคยมุ่งเอาชนะหรือครอบครองธรรมชาติมาสู่การแสวงหาหนทางอยู่ร่วมกับธรรมชาติและคนอื่นอย่างมีความสุขกลมกลืนได้อย่างไร ทำนองเดียวกัน การพัฒนาของโลกมีแนวโน้มเปลี่ยนจากการเน้นวัตถุไปสู่การเน้นความเป็นมนุษย์ ประกอบกับผู้คนต้องการอิสระ ดังนั้น โลกจึงต้องพึ่งพิงกันและกัน จะร่วมกันสุขและผจญความทุกข์ด้วยกันมากขึ้น
ด้วยทิศทางการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจจะเกิดการเปลี่ยนครั้งใหญ่จากอำนาจเน้นปกครองควบคุมเข้มข้น ซึ่งเป็นโครงสร้างในแนวตั้งไปเป็นโครงสร้างการปกครองแนวนอนที่ให้ชีวิตมีอิสระ ดังนั้นโลกจากนี้ไปต้องอาศัยความสมดุล 3 สิ่ง คือ ความมั่งคั่งร่วม เกิดความเท่าเทียม และนำไปสู่ความยั่งยืน
ไทยจมปรักกับวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน
สำหรับไทยแล้ว กำลังจมอยู่ในห้วงเวลา “หลายทศวรรษความสูญเปล่า” เพราะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับต่ำมาก โดยก่อนวิกฤตต้มยำกุ้งไทยมี GDP โตระดับ 7% แต่ปัจจุบันแค่ 3-4% ยังยาก นอกจากนนี้ยังมีการจ้างงานต่ำ เกิดหนี้ครัวเรือนทะยานพุ่ง ความเหลื่อมล้ำสูง อีกทั้งเกิดความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศที่ถดถอย สิ่งเหล่านี้ สะท้อนถึงไทยมีทุนมนุษย์ที่อ่อนแอ มีทุนเศรษฐกิจอ่อนด้อย มีทุนสังคมเปราะบาง และมีทุนศีลธรรม จริยธรรมที่เสื่อมทราม รวมทั้งทุนทรัพยากรที่เสื่อมโทรม จนบ่งบอกถึงปัญหาเชิงโครงสร้างถูกหมักหมมไว้มากมาย
สิ่งสำคัญรากของปัญหามากมายนั้น มาจาก“วงจรอุบาทว์เชิงซ้อน” ที่สะสมในวงจร 3 ป. คือ ประท้วง ต่อต้านปฏิวัติรัฐประหาร แล้วเกิดประชาธิปไตยเทียม นำไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองแบบ “extractive political economy” หรือโครงสร้างที่มีการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง อำนาจ โอกาส รวมถึงมีระบบการกีดกันและเอารัดเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ดังนั้น ถ้าคิดจะปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศไทยจึงต้องกล้ามุ่งโจมตีรากฐานของปัญหาเช่นนี้ให้แตกกระจุยให้ได้ โดยวงจรอุบาทว์เชิงซ้อน มักสะท้อนผ่าน 4 ลักษณะ คือ 1. ระบอบประชาธิปไตยเทียม 2. ระบบทุนนิยมพวกพ้องแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก มีการฮั้วกันระหว่างการเมืองกับอำนาจทหาร 3.ระบบเศรษฐกิจปรสิตที่คอยดูดทรัพย์สินต่างๆในสังคม และ 4. สังคมที่ต้องพึ่งพิงอิงภายนอก
สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงโครงสร้างเชิงอำนาจเบ็ดเสร็จรวมศูนย์ จึงทำให้ไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ เนื่องจากอำนาจที่แท้จริงกับอำนาจทางการเป็นคนละเรื่องกัน โดยดูเหมือนประชาชนมีอำนาจแต่ไม่จริง ดูเหมือนข้าราชการต้องรับใช้ประชาชนแต่จริงๆแล้วใช้อำนาจปกครองสั่งการ ดังนั้น โครงสร้างอำนาจแบบนี้มีรากมาจากระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิ์ชน อีกอย่างต้องก้าวให้หนีพ้นมรดกระบบจารีตนิยม ระบบอาวุโส ซึ่งทำให้สังคมเกิดความเฉื่อยชา คุ้นชินแต่ความมักง่าย เห็นความผิดปกติเป็นสิ่งปกติ ไม่รู้สึกผิด เช่น ยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร รวมถึงมีทัศนคติว่า นักการเมืองโกงกินไม่เป็นไรขอให้มีผลงานก็แล้วกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ความน่าสนใจคือ ระบบธรรมาภิบาล ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ clean & clear ไม่ free & fair และไม่ care & share ไม่มี “รัฐบาลที่น่าเชื่อถือ” ซึ่งหมายถึงรัฐบาลที่มาด้วยความชอบธรรม มีคุณธรรมจริยธรรม และมีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศ ที่สำคัญทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยพลเมืองที่มึนชา ไร้วินัย หมกมุ่นอยู่แต่ตัวเอง ไม่สนใจใคร ไม่ค่อยมีจิตสาธารณะ ไม่ใส่ใจส่วนรวม
ทั้งหมดทั้งปวงนั้นเป็นเหตุผลว่า ทำไมประเทศไทยจึงต้องมี “The Second Great Reform” ที่เป็นการปรับโครงสร้างและเปลี่ยนพฤติกรรมครั้งใหญ่ เพื่อก้าวออกจากโครงสร้างอำนาจการเมือง-เศรษฐกิจกระจุกตัว (extractive political economy) คนส่วนน้อยเอาเปรียบคนส่วนใหญ่ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วขับเคลื่อนไปสู่โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีเป้าหมายการพัฒนาประชาชนโดยส่วนใหญ่ให้มีโอกาสเข้าร่วม เพื่อมุ่งสู่โครงสร้างที่มีการกระจายโอกาส อำนาจ ความมั่งคั่ง และความยั่งยืน ยึดความหลากหลาย
การขับเคลื่อน The Second Great Reform
ประเด็นท้าทายการปฏิรูป จึงควรเริ่มต้นถามก่อนว่า “คนจนมีโอกาสที่จะมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหรือไม่” มิเช่นนั้นจะเกิดสังคมแห่งความสิ้นหวัง และเมื่อผู้คนสิ้นหวังจะส่งผลกระทบตามมามากมาย ขณะเดียวกันจะต้องตอบคำถามที่ว่า “คนรวยจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร” หากคนรวยหรือคนมีโอกาสตระหนักและเข้ามาช่วยลดความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจัง ดังนั้นโจทย์ใหญ่คือ จะทำอย่างไรที่จะเพิ่มขนาดของการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ใหญ่ขึ้น พร้อมๆกับเพิ่มส่วนแบ่งให้กับคนจนและคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นได้อย่างไรด้วย
แนวทางขับเคลื่อนไปสู่ The Second Great Reform มีสาระสำคัญ 7 ประการ เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมครั้งใหญ่ และปรับเปลี่ยนนิสัย พฤติกรรมคนไทยไปพร้อมกัน เพื่อโยกการกระจุกตัวทางอำนาจให้กลายเป็นโครงการกระจายโอกาสที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ คือ
- No Pain No Gain: ต้องปฏิรูปอย่างไม่เกรงใจใคร ต้องสร้างความตระหนักว่าจะเปลี่ยนเองหรือจะถูกเปลี่ยน อยากเปลี่ยนอย่างสงบหรือเปลี่ยนด้วยความรุนแรง
- People Engaged Reform: ต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูป พยายามให้ทุกภาคส่วนหันหน้าเข้าหากันแทนการเผชิญหน้ากัน ที่สำคัญ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
- Double Learning Loop: ต้องมีการทบทวนไปจนถึงระดับฐานคิดหรือสมมติฐาน ที่ส่งผลให้การปฏิรูปไม่ประสบผลอย่างที่คาดไว้
- Development Reorientation: ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดในการปฏิรูปใหม่ จาก “The Bigger, The Better” เป็น “The Better, The Bigger” จาก “The More, The Better” เป็น “The Better, The More” และจาก “The Faster, The Better” เป็น “The Better, The Faster”
- Thriving in Balance: ต้องมีความสมดุล ความพอดี ความลงตัว เช่น ทุกคนต้องมีอิสระ ในขณะเดียวกันยังต้องการพึ่งพาอาศัยกัน หรือทุกคนต้องมองผลประโยชน์ของชาติ ในขณะเดียวกันต้องมองประโยชน์สุขของโลกด้วยในเวลาเดียวกัน
- Connect the Dots: การปฏิรูปไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ แต่ต้องมีภาพใหญ่เพื่อเชื่อมโยงร้อยเรียงประเด็นหรือวาระปฏิรูปต่างๆ ที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกัน
- Integrated Reform: ต้องเป็นการปฏิรูปที่มีการผสมผสานอย่างลงตัว ตัวอย่างเช่น ในการปฏิรูปบางเรื่องจำเป็นต้องเด็ดขาดแบบ mandatory reform แต่บางเรื่องจำเป็นต้องเป็นแบบ participatory reform หรือการปฏิรูปบางเรื่องจำเป็นต้องเป็น functional reform หรือ incremental reform ขณะที่บางเรื่องจำเป็นต้องเป็น structural reform หรือ behavioral reform
เป้าหมายการปฎิรูปใหญ่ครั้งที่สอง
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ The Second Great Reform คือการปรับเปลี่ยนจากสังคมจารีตไปสู่สังคมสมัยใหม่ เป็นสังคมที่ clean & clear, free & fair และ care & share ซึ่งจะนำไปสู่การปลดปล่อยศักยภาพและพลังของประชาชน ไปสู่การเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ที่มีอุดมการณ์และมีจิตสำนึกต่อส่วนรวม นำไปสู่ความเข้มแข็งของภาคประชาชน ทำให้การพึ่งพิงรัฐน้อยลง ส่งผลให้เกิดเป็นสังคมควบคุมกันเอง และในที่สุดจะเกิดเป็นสังคมควบคุมรัฐ
ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนจากสังคมจารีตสู่สังคมสมัยใหม่ ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ คือ
1) Realigning System of Governance
2) Reorienting Our Value & Culture
3) Empowering Our People
ยุทธศาสตร์แรก Realigning System of Governance: เราจะเปลี่ยนไปสู่สังคมที่ clean & clear, free & fair และ care & share ได้อย่างไร
สังคม clean & clear จะเกิดได้ ต้องเปลี่ยนจาก “rule by law” ซึ่งเป็นการเขียนกฎตามความต้องการของคนบางกลุ่ม ไปเป็น “rule of law” คือกฎที่ทุกคนยอมรับและยินดีที่จะยึดถือปฏิบัติ เมื่อสังคมเกิด clean & Clear แล้วก็จะทำให้เกิดสังคมที่ free & fair ที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงทรัพยากรแบบ open access และเมื่อสังคม clean & clear และ free & fair แล้ว สังคมที่ care & share จะเกิดขึ้นตามมา โดยสังคม care & share เป็นสังคมที่มีพลัง สามารถปลุกและปลดปล่อยศักยภาพของประชาชนออกมา ก่อเกิดเป็นพลังความร่วมมือทางสังคม เป็นสังคมรัฐสวัสดิการอย่างแท้จริง
หากทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จ ก็จะนำมาสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ไปจนถึงระบบทุนนิยมแบบครอบคลุม ระบบเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างยุติธรรม และสังคมที่ทุกคนผนึกกำลังกัน ที่ไม่ต้องพึ่งพิงภาครัฐและนโยบายประชานิยมอีกต่อไป
ยุทธศาสตร์ต่อมา Reorienting Our Value & Culture: เราจะเปลี่ยนพลเมืองที่เฉื่อยชาไปเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ได้อย่างไร
หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง คือการปรับเปลี่ยนคุณค่าและวัฒนธรรม ในปัจจุบันสังคมไทยเป็นสังคมแบบต่างคนต่างอยู่ ตัวใครตัวมัน พวกใครพวกมัน ที่เรียกว่าเป็น “me-society” หรือสังคมของพวกกู แทนที่จะเป็น “we-society” หรือสังคมของพวกเรา โดยการปรับเปลี่ยน
- Anomic Individualism เป็น Orientated Individualism
- Parochial Collectivism เป็น Unrestricted Collectivism
- Vertical Culture เป็น Civic Culture
- Ignorant Culture เป็น Sufficient Culture
การจะเปลี่ยนพลเมืองที่เฉื่อยชาไปเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ได้ จะต้องเปลี่ยนคนไทยจากการเป็น anomic individualism ให้เป็น orientated Individualism ที่มี eco-centric แทนที่จะเป็น ego-centric mindset มี growth mindset แทนที่จะเป็น fixed mindset รวมถึงเป็นพลเมืองที่อิสระ ในขณะเดียวกันก็พึ่งพาอาศัยกันร่วมกับคนอื่น รวมถึงเปลี่ยน parochial collectivism ให้เป็น unrestricted collectivism ที่คนในสังคมมีความสัมพันธ์ภายในกลุ่มอย่างแนบแน่น พร้อมๆ กับมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆ ในระดับที่สูงด้วย
ในทำนองเดียวกันจะต้องเปลี่ยน vertical culture (อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธิ์นิยม) ให้เป็น civic culture ที่ทุกคนเคารพคุณค่าของกันและกันบนความหลากหลาย ความครอบคลุม และความเท่าเทียม นำไปสู่การเป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ ควบคู่ไปกับการเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดรับชอบต่อสังคม และเมื่อเป็นทั้งพลเมืองที่ตื่นรู้และมีความรับผิดรับชอบ จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็น “พลเมืองที่สมบูรณ์” คือพลเมืองที่มีความสมดุลระหว่างความเป็น independent และ interdependent นั่นเอง สุดท้ายคือ จะต้องเปลี่ยน ignorant culture ให้เป็น sufficient culture เพื่อที่จะหลุดออกมาจากกับดักของวัตถุนิยม บริโภคนิยม และสุขนิยม ไปสู่วัฒนธรรมพอเพียง ที่เมื่อไม่พอต้องรู้จักเติม เมื่อพอต้องรู้จักหยุด และเมื่อเกินต้องรู้จักปัน
ยุทธศาสตร์สุดท้าย Empowering Our People: เราจะเติมเต็มพลังให้กับประชาชนได้อย่างไร เมื่อสังคมเกิด clean & clear, free & fair และ care & share พร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยน value & culture ของผู้คนแล้ว จะต้องมีการปลดล็อกข้อจำกัดและปลดปล่อยศักยภาพของภาคประชาชน ผ่าน 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ 1) การกระจายอำนาจ กระจายโอกาส กระจายความมั่งคั่ง 2) เปลี่ยนภาระเป็นพลัง 3) ขับเคลื่อนด้วยโมเดลผนึกกำลังกันหลากภาคส่วน
ปัจจุบันผู้มีอำนาจยังคงติดอยู่กับวงจรความเชื่อที่ว่าชุมชนหรือท้องถิ่นยังไม่พร้อม ทำให้ไม่ยอมกระจายอำนาจ ท้องถิ่นและชุมชนจึงไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ เมื่อไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ จึงยิ่งทำให้ไม่พร้อมมากขึ้น แทนที่จะเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นและชุมชนได้พัฒนาขีดความสามารถจนสามารถปกครองตนเองได้ จึงต้องเปลี่ยนจากการรวมศูนย์อำนาจ ที่ถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม และอภิสิทธิ์ชน มาเป็นการกระจายอำนาจ รวมถึงการกระจายโอกาส (ผ่านการเข้าถึงทรัพยากรประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรเศรษฐกิจ ทรัพยากรสังคม และทรัพยากรการเมือง) ตลอดจนการกระจายความมั่งคั่งผ่าน property pre-distribution ที่ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการสร้างความมั่งคั่งตั้งแต่ต้น มากกว่า income redistribution ที่ให้โอกาสกับคนบางกลุ่มสร้างความมั่งคั่ง แล้วค่อยกระจายให้กับคนกลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ
ขณะเดียวกัน จะต้องเปลี่ยนภาระมาเป็นพลัง ทำให้พลเมืองที่ตื่นรู้และมีความรับผิดรับชอบ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของตนให้ดีขึ้นได้ โดยการขยับจากยากจนข้นแค้น ไปสู่พอประทังชีวิต ไปสู่พอเพียง และไปสู่ยั่งยืนในที่สุด ผ่าน “กลไกการลื่นไหลทางสังคม” (social mobility) โดยคนที่ได้โอกาสคอยช่วยดึงคนด้อยโอกาสขึ้นมา และขณะเดียวกันคนด้อยโอกาสก็ต้องมีความเพียรพยายามเติมเต็มความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ โมเดลในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะมีเพียงภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมเหมือนเดิมไม่ได้ จำเป็นต้องใช้โมเดลผนึกกำลังหลากภาคส่วน โดยสร้างความร่วมมือกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ เช่น ภาครัฐจับมือกับภาคเอกชนในรูปแบบ public-private partnership (PPP) ภาครัฐจับมือกับภาคประชาชนในรูปแบบ third sector หรือภาคเอกชนจับมือกับภาคประชาชนในรูปแบบ social enterprise
Thailand 4.0 กับกลไกขับเคลื่อนชุดใหม่
โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองแบบ extractive political economy ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่ Thailand 4.0 ได้ ภาคเกษตรของไทยยังคงเป็นเกษตรแบบดั้งเดิมล้าหลัง ภาคอุตสาหกรรมก็ยังคงเป็นแบบรับจ้างผลิตและไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ในขณะที่ภาคบริการมีมูลค่าเพิ่มต่ำมาก
ทั้งนี้ extractive political economy เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสังคมผู้ประกอบการ อย่าง SMEs, startup หรือ local enterprise ทำให้สังคมผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่สามารถเกิดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ Thailand 4.0 ผ่าน 3 Growth Engine สำคัญ
ตัวแรกคือ Human Growth Engine เป็นการสร้างสภาวะแวดล้อมที่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์ โดยมีนโยบาย Growth for People เพื่อสร้างกำลังคนที่จะไปขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (People for Growth) ต่อไป
ตัวที่ 2 คือ Inclusive Growth Engine เป็นการเพิ่มขนาดของพาย (Size of Pie) ผ่าน Growth และ Productivity พร้อมกันกับเพิ่มส่วนแบ่งของพาย (Share of Pie) ให้กับคนด้อยโอกาสและคนส่วนใหญ่ของประเทศ ผ่านการสร้าง Opportunities และการเติมเต็มด้วย Capacity Building ให้กับผู้ประกอบการ อย่าง SMEs หรือ Startup พร้อมๆ กับการเปลี่ยนนโยบายประชานิยมให้กลายเป็นรัฐสวัสดิการ
และตัวที่ 3 คือ Sustainable Growth Engine เป็นการทำให้เกิดความรับผิดรับชอบในส่วนของการผลิต (Responsible Mode of Production) ควบคู่ไปกับความรับผิดรับชอบในส่วนของการบริโภค (Responsible Mode of Consumption) โดยมี 3 วาระสำคัญที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน คือ Climate Agenda, Circular Economy และ Common Reinvention โดยผ่านแนวคิด Circular Economy, Green Growth Industries, Dematerialization และ Decarbonization ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของ BCG Economy Model
สุดท้ายนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนบนเวทีโลก เริ่มจากการสร้างความเข้มแข็งจากภายในด้วยการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ (Dignity of the Nation) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศให้เป็นแบบ Inclusive Political Economy เมื่อมีความเข้มแข็งจากภายในแล้ว จึงจะไปสู่การเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก โดยการวางจุดยืนบนเวทีโลก รวมถึงการใช้ Soft Power ซึ่งก็คือ BCG เพื่อชูการสร้าง Prosperity ผ่าน Sustainability และ Equality ของประเทศไทยในประชาคมโลก
รัฐที่น่าเชื่อถือ
โดยรัฐที่น่าเชื่อถือ จะต้องมาด้วยความชอบธรรม (Legitimacy) พร้อมด้วยมีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมจริยธรรม (Integrity) และมีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศ (Capability) จอห์น เอฟ เคนเนดี อดีตประธานาธิบดีอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า การเป็น “ผู้บริหารประเทศที่ดี” นั้น ต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ 4 ข้อ คือ
1) Am I a Man of Integrity?
2) Am I a Man of Courage?
3) Am I a Man of Judgment?
4) Am I a Man of Dedication?
ขณะที่ ลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์ กล่าวไว้ว่า “Once you have weaker people on top, the whole system slowly goes down. It’s inevitable” หมายถึง ลีกวนยูยอมไม่ได้ที่จะให้มี “รัฐมนตรีกระจอก” มาบริหารประเทศ เพราะหากทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการทรยศหักหลังประเทศ
ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งในภารกิจสำคัญของ The Second Great Reform คือ การสร้างรัฐที่น่าเชื่อถือ ควบคู่ไปกับการสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้และร่วมรับผิดรับชอบ ทั้ง 2 ปัจจัยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะเปลี่ยนประเทศไทยจากโครงสร้างอำนาจเศรษฐกิจ-การเมืองกระจุกตัว (inclusive political economy) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไปสู่โครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ประชาชนโดยส่วนใหญ่มีโอกาสเข้าร่วม (Inclusive Political Economy) อย่างที่พวกเราต้องการ
หมายเหตุ : สาระสำคัญบางส่วนมาจาก ThaiPublica
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.facebook.com/sammachiv
https://www.facebook.com/chumchonmeedee
https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods