skip to Main Content
02-530-9204-5 sammachiv.pr@gmail.com
คลายล็อกดาวน์ รีบคืนชีวิตปากท้อง

คลายล็อกดาวน์ รีบคืนชีวิตปากท้อง

คลายล็อกดาวน์ รีบคืนชีวิตปากท้อง

เริ่มมีเสียงดีๆผุดขึ้น เป็นคำพูดแผ่วเบาว่า สถานการณ์โควิดแพร่เชื้อเพิ่มผู้ป่วยใหม่ส่อคงที่ บ่งบอกแนวโน้มจะถอยลดลงอีก และนั่นเป็นสัญญาณชีวิตที่คนไทยต้องการ เพราะอยากกลับมาสู่ปกติสุข ได้ออกจากบ้านไปทำงาน ร้านอาหารจะเปิดให้บริการ ทั้งหมดทั้งปวงคือ มีรายได้พอจุนเจือลูกน้องและครอบครัว

ปัญหามีว่า แค่ไหนของผู้ติดเชื้อใหม่จึงเหมาะสมกับการปลดล็อคดาวน์ หรือได้แค่ผ่อนปรนข้อห้ามบางอย่าง เช่น นักเรียนหลุดพ้นเรียนออนไลน์และได้ไปโรงเรียน ตลาดกลับมีคึกคักจอแจ ร้านรวงเปิดเป็นปกติ ซึ่งตอบยาก แต่เบื้องต้นการผ่อนคลายข้อห้ามคงสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีนกับการติดเชื้อใหม่ในพื้นที่ล็อกดาวน์มีมากน้อยเพียงใด และมากพอกับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่หรือไม่

ดังนั้น จึงนำระดับผู้ติดเชื้อและการฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคม 2564 มานำร่องพิจารณาสถานการณ์โควิดไทยว่า แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่มีมาก-น้อยแค่ไหน รุนแรงเพียงไร รวมทั้งรัฐบาลมีมาตรการสกัดการแพร่ระบาดหรือไม่ พร้อมทั้งเร่งฉีดวัคซีนใกล้สร้างภูมิคุ้มกันหมู่หรือยัง หรือปล่อยวางรอให้เชื้อแผ่วแรงระบาดลดความรุนแรงกันไปเอง

ติดเชื้อใหม่ยังหนัก-เสียชีวิตยิ่งน่าระทึก

การประกาศล็อกดาวน์บวกเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงเข้มมีด้วยกัน 3 ระยะ โดยครั้งแรกเมื่อ 12 กรกฎาคม 2564 คุมเข้ม 10 จังหวัด คือ กทม.-ปริมณฑลรวม 6 จังหวัดคือ กทม. นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร พร้อมอีก 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา แต่แล้วการระบาดยังรุนแรง ผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งพรวดขึ้นไปแตะหลักหมื่นรายพร้อมกับมีผู้เสียชีวิตขยับจากหลักสิบมาเป็นหลักร้อย รัฐบาลจึงประกาศล็อกดาวน์เพิ่มอีก 3 จังหวัดคือ  ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา-อยุธยา รวมเป็น 13 จังหวัด โดยมีผลบังคับตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2564

ไม่พียงเท่านั้น เมื่อผู้ติดเชื้อโควิดระบาดออกวงกว้างมากขึ้น รัฐบาลจึงประกาศเพิ่มล็อกดาวน์กับเคอร์ฟิวอีก 16 จังหวัดเมื่อ 1 สิงหาคม 2564 ประกอบด้วย กาญจนบุรี เพชรบูรณ์ ตาก ระยอง นครนายก ราชบุรี นครราชสีมา ลพบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สิงห์บุรี ปีราจีนบุรี สระบุรี สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี เพชรบุรี และอ่างทอง ดังนั้นพื้นที่ล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวมีรวมกัน 29 จังหวัด

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเพิ่มล็อกดาวน์มากจังหวัดขึ้น เชื้อโควิดกลับระบาดพุ่งพรวดจนน่าตกใจ โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์โควิดไทยในช่วงเกือบ 2 ปี เพราะมีผู้ติดเชื้อสูงไปแตะ 23,418 คนในวันที่ 13 สิงหาคม แล้วมีผู้เสียชีวิตมากถึง 312 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม อีกทั้งในช่วงหลังวันที่ 20 สิงหาคมเป็นต้นมา ผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงระดับอยู่ที่ระดับใกล้เคียง 20,000 คน และเสียชีวิตมากถึง 200 คน

 

สถานการณ์โควิดระบาดล็อคดาวน์ (สิงหาคม 2564)
  ทั้งประเทศ กทม.-ปริมณฑล
วัน / เดือน ติดเชื้อใหม่ เฉลี่ย เสียชีวิต ติดเชื้อใหม่ เฉลี่ย เสียชีวิต
1-10 ส.ค. +176,826 17,682.6 +1,731 +70,692 7,069.2 +1,078
11-20 ส.ค. +213,759 21,375.9 +2,238 +92,997 9,299.7 +1,242
21-24 ส.ค. +74,241 18,560.2 +962 +32,443 8,110.75 +558
รวม +464,826 19,367.75 +4,931 196,132 8,172.2 2,878
รวบรวม/ปรับปรุงจาก: ศูนย์ข้อมูล COVID-19

 

ดังนั้น การระบาดของโควิดในเดือนสิงหาคมจึงสามารถเป็นเครื่องชี้วัดว่า ยังรุนแรงน่าหวั่นไหวอย่างยิ่ง จากตารางข้างบนจำนวนผู้ป่วยใหม่ไม่ได้นำจำนวนการตรวจแบบ ATK มารวมด้วย แต่ยังบ่งบอกได้ชัดเจนว่า เดือนสิงหาคม (1 -24 ส.ค.) ยังไม่ครบเดือนมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากถึง 464,826 คน หรือเฉลี่ยวันละ 19,367.75 คน และเสียชีวิตเพิ่มถึง 4,931 คนหรือเฉลี่ยเพิ่ม 205 คน จนทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมพุ่งทะลุกว่า 1 ล้านคน

ส่วนตัวเลขการระบาดของ กทม.-ปริมณฑลนั้น คงชี้วัดระดับความรุนแรงในพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศ โดยแค่ 24 วันในเดือนสิงหาคมมีผู้ติดเชื้อใหม่รวม 196,132 คน หรือเฉลี่ย 8,172.2 คนเท่ากับครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ ซ้ำร้ายยังมีผู้เสียชีวิตเพิ่มรวม 2,878 คน เฉลี่ยเกือบ 120 คนต่อวัน สิ่งนี้สะท้อนชัดเจนว่า โควิดไม่มีท่าทีลดถอยลง ตรงกันข้ามกลับแพร่เชื้อเข้าขั้นอันตรายยิ่งนัก

ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑลนั้น ตามตารางบ่งชี้ว่า ช่วงปลายเดือนสิงหาคมจะมีผู้ติดเชื้อลดลงในระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 8,110.75 คน ซึ่งสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อใหม่ทั้งประเทศในช่วงเวลาเดียวกันก็เริ่มส่อแววลดลงมาเฉลี่ยที่ 18,560.2 ต่อวัน แต่ยังจัดเป็นการระบาดที่รุนแรงคงที่อันน่าระทึกยิ่งสำหรับประเทศไทย ดังนั้นการฉีดวัคซีนย่อมเป็นสิ่งจำเป็นและชักช้าอีกไม่ได้

 

เร่งฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิคุ้มกันหมู่กลวงๆ

การประกาศล็อคดาวน์บวกเคอร์ฟิวพื้นที่สีแดงเข็ม 29 จังหวัด สิ่งสำคัญต้องการสกัดการระบาดของโควิดให้แผ่วความรุนแรงลง แม้รัฐบาลงัดมาตรการขอความร่วมมือประชาชนอยู่บ้านชะลอแพร่เชื้อ แต่การเร่งฉีดวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่คือ ในสัดส่วน 70% ของประชากรทั้งประเทศ ก็ควรดำเนินการควบคู่กันไปด้วย

ประกอบกับเมื่อการเร่งตรวจหาเชื้อและฉีดวัคซีนอยู่ในสถานการณ์เปิดให้ระดมบุคลากรสาธารณสุขลงพื้นที่เข้าถึงประชาชน แม้รัฐบาลตั้งหลักได้ในช่วงเดือนสิงหาคม จนทำให้การฉีดวัคซีนกระเตื้องขึ้นในระดับพอเหมาะพอควร แต่ยังน้อยเกินกว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ จากตารางการฉีดวัคซีนช่วงสิงหาคมนั้น บ่งบอกถึงการเร่งฉีดเข็มหนึ่งทั้งประเทศเฉลี่ยเพิ่ม 303,184 โดส จนมียอดสะสมที่ 21,231,498 โดส คิดเป็น 32% ของประชากรทั้งประเทศ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยประกาศลดทอนฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่มาเหลือเพียงฉีดเข็มเดียว 50 ล้านคนหรือประมาณ 70%ของประชากรประเทศเพื่อรีบเปิดประเทศฟื้นเศรษฐกิจและประชาชนได้ทำมาหากินเลี้ยงปากท้องตามปกติให้ได้ในกันยายนหรือตุลาคมนี้เป็นอย่างช้า

 

ฉีดวัคซีนล็อกดาวน์ (สิงหาคม 2564)
  ทั้งประเทศ

(ประชากร 66,186,727)

กทม.-ปริมณฑล

(ประชากร 14,852,388)

ว/ด สะสม % สะสม %
20 ส.ค. เข็มหนึ่ง  19,973,692  (+387,683)

เข็มสอง  5,920,614    (+215,414)

เข็มสาม  533,795

30.2

8.9

0.8

เข็มหนึ่ง  8,860,733 (+144,199)

เข็มสอง  2,137,242 (+57,977)

เข็มสาม  159,593

59.7

14.4

1.1

21 ส.ค. เข็มหนึ่ง  20,272,171 (+298,479)

เข็มสอง  6,017,820   (+97,206)

เข็มสาม  542,188

30.6

9.1

0.8

เข็มหนึ่ง  8,995,697 (+134,964)

เข็มสอง  2,192,721 (+55,479)

เข็มสาม  161,472

60.6

14.8

1.1

22 ส.ค. เข็มหนึ่ง  20,430,028  (+157,857)

เข็มสอง  6,065,003    (+47,183)

เข็มสาม  543,968 

30.9

9.2

0.8

เข็มหนึ่ง  9,127,925 (+132,228)

เข็มสอง  2,223,401 (+30,680)

เข็มสาม  164,722 

61.5

15.0

1.1

23 ส.ค. เข็มหนึ่ง  20,830,673  (+400,645)

เข็มสอง  6,230,511    (+165,508)

เข็มสาม  551,261  

31.5

9.4

0.8

เข็มหนึ่ง  9,202,176 (+74,251)

เข็มสอง  2,242,315 (+18,914)

เข็มสาม  164,910 

62.0

15.1

1.1

24 ส.ค. เข็มหนึ่ง  21,231,498  (+400,825)

เข็มสอง  6,405,537    (+175,026)

เข็มสาม  560,624

32.0

9.7

0.8

เข็มหนึ่ง  9,317,449  (+115,273)

เข็มสอง  2,303,702  (+61,387)

เข็มสาม 167,607 

62.7

15.5

1.1

1-24 ส.ค. เข็มหนึ่ง +7,276,411 (เฉลี่ย +303,184)

เข็มสอง +2,494,098 (เฉลี่ย +103,921)

  เข็มหนึ่ง +2,493,428 (เฉลี่ย +103,893)

เข็มสอง  +721,599   (เฉลี่ย +30,067)

 
รวบรวม/ปรับปรุงจาก: สรุปข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

 

จากข้อมูลตามตาราง เมื่อ 24 สิงหาคม ระบุทั้งประเทศฉีดวัคซีนสะสมเข็มหนึ่งได้ 21,231,498 โดส ถ้าต้องการให้ถึง 50 ล้านโดสแล้ว ต้องฉีดเพิ่มอีกประมาณ 29 ล้านโดส ขณะที่ช่วง 24 วันเดือนสิงหาคม รัฐบาลเร่งเต็มที่ฉีดเพิ่มได้ 7,276,411 โดส ซึ่งคงต้องใช้เวลาประมาณ 96 วันหรือ 3 เดือนเศษจึงจะฉีดเข็มหนึ่งได้ตามเป้าหมาย 50 ล้านโดสของนายกรัฐมนตรี นั่นชี้ว่า การเปิดประเทศมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างช้าภายในไม่เกินสิ้นปี 2564

 

ถ้าพิจารณาแบบให้กำลังใจกันแล้ว เชื่อว่าสามารถฉีดเข็มหนึ่งทั้งประเทศได้ในระดับประมาณ 3 แสนเศษ พร้อมทั้งมั่นใจด้วยว่า ถ้ารัฐบาลจะเร่งระดมบุคลากรลุยฉีดวัคซีนเพิ่มเข็มหนึ่งให้ได้วันละ 5 แสนโดส ก็ช่วยร่นการเปิดประเทศเร็วขึ้นมาอยู่ที่เดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนเป็นอย่างช้า

ไม่เพียงเท่านั้น ในไตรมาส 4/2564 ช่วงตุลาคม-ธันวาคมวัคซีนหลายยี่ห้อที่สัญญาซื้อขายกันไว้จะถูกส่งมาถึงไทยทั้งไฟเซอร์ประมาณ 20-30 ล้านโดส รวมถึงแอสตร้าเซเนกาจะส่งจำนวนที่เหลือกว่า 24 ล้านโดสให้ไทยไม่เกินสิ้นปี 2564 และขาดไม่ได้คือ ซิโนแวคสั่งซื้อล็อตใหม่อีก 12 ล้านโดสคงเป็นเครื่องรับประกันได้ที่จะมาในไม่เกินสิ้นปีนี้ด้วย

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุจำนวนวัคซีนเข้าไทยชัดเจนว่า กันยายนมีซิโนแวค 6 ล้านโดส แอสตร้าฯ 7 ล้านโดส ไฟเซอร์ 2 ล้านโดส รวมทั้งสิ้น 15 ล้านโดส ถัดไปตุลาคม ซิโนแวคมาอีก 6 ล้านโดส แอสตร้าฯ 7 ล้านโดส ไฟเซอร์ 8 ล้านโดส รวมทั้งสิ้น 21 ล้านโดส แล้วถึงพฤศจิกายนและธันวาคม มีวัคซีนมาอีกเดือนละ 17 ล้านโดสคือ แอสตร้าฯ 7 ล้านโดส ไฟเซอร์ 10 ล้านโดส รวมทั้งสองเดือนเท่ากับ 34 ล้านโดส

อีกอย่าง สำนักงานจัดการอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์เต็มรูปแบบ (full approval) แปลว่า สามารถซื้อหามาใช้โดยไม่ผ่านรัฐไฟเขียวตามเงื่อนไขกรณีฉุกเฉินอีกแล้ว ดังนั้นกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 16 ปีหรือมากกว่าย่อมเข้าถึงวัคซีนชนิด mRNA ที่โจษจันถึงประสิทธิภาพสามารถต้านโควิดสายพันธุ์เดลตาได้เหนือกว่ายี่ห้ออื่นๆ

ด้วยปัจจัยเช่นนี้ จึงทำให้ฟ้าเหนือไทยสว่างโล่งขึ้น และประจวบเหมาะกับการตีปิ๊บส่งสัญญาณนำร่อง โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า เปิดประเทศตามเป้าหมายของนายกรัฐมนตรีอาจเป็นจริงได้ในสิ้นปีนี้

 

คลายล็อคดาวน์รีบคืนปากท้อง

ถึงที่สุดการฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งทั้งประเทศให้ได้ 50 ล้านโดสส่อแนวโน้มมีความน่าจะเป็นสูง เพราะจากข้อมูลตามตารางสะท้อนถึงภารกิจของรัฐบาลกำหนดเป้าการฉีดเข็มหนึ่งมากกว่าการฉีดเข็มสอง โดยช่วง 24 วันในเดือนสิงหาคมนั้นฉีดได้เพิ่มเพียง 2,494,098 โดส ซึ่งน้อยกว่าฉีดเข็มหนึ่งกว่า 3 เท่าตัว

ตามมาตรฐานการต่อสู้กับโควิดแล้ว การฉีดวัคซีนเข็มสอง 70% ของประชากร หรือ 50 ล้านคน คือ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้น่าเชื่อถือกว่า ส่วนการฉีดเข็มหนึ่งให้ได้ 50 ล้านคนมีค่าแค่เป็นภูมิคุ้มกันหมู่กลวงๆ ซ้ำร้ายยังสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดขยายวงกว้างได้เหมือนเดิม ดังนั้นการฉีดเข็มหนึ่งอย่างเดียวจึงเท่ากับไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโควิดกันเลย แล้วอย่างนี้จะรักษาชีวิตเช่นไรกัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาตารางการฉีดวัคซีนในพื้นที่ กทม.-ปริมณฑล แล้ว ก็พบว่า ปริมาณการฉีดเข็มสองยังน้อยอยู่มีแค่ 15% เท่านั้น แม้จะดันให้ถึงภูมิคุ้มกันหมู่จริงๆคงลิ้นห้อยเหนื่อยหอบแฮกๆ แต่ข้อมูลการฉีดเข็มหนึ่งกลับมากในระดับกว่า 60% ซึ่งตัวเลขช่างงามแจ่มที่จะเร่งไปถึงภูมิคุ้มกันหมู่ 70% หรือ 50 ล้านคนตามเป้านายกรัฐมนตรีต้องการคงได้รวดเร็วขึ้น

ผสมกับการฉีดวัคซีนไขว้ยี่ห้อ โดยใช้สูตรเข็มหนึ่งฉีดซิโนแวค ห่าง 3 สัปดาห์ฉีดแอสตร้าฯเข็มสอง เป็นสูตรหลักของไทยในปัจจุบันมากระตุ้นภูมิคุ้มกันหมู่แท้จริงได้ แล้วยังร่นเวลาการเกิดภูมิคุ้มกันได้ เพราะใช้เวลาฉีดครบ 2 เข็มใน 3 สัปดาห์ ถ้าฉีดเฉพาะแอสตร้าฯอย่างเดียวใช้เวลานานถึง 12 สัปดาห์จนทำให้ภูมิลดถอย สู้กับโควิดไม่ยาก

ดังนั้น แนวโน้มตั้งแต่ในกันยายนนี้ไป คงส่อแววมีข่าวดีกับการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์มากขึ้น และชีวิตปากท้องได้เติมไฟต่อสู้อีกครั้ง อีกทั้งสถานการณ์สว่างจางปางมีโอกาสเปิดประเทศแบบ “แซนด์บ็อกซ์”ในพื้นที่เศรษฐกิจ กทม.-ปริมณฑลย่อมเป็นไปได้สูงเช่นกัน เพราะตามข้อมูลในตารางการฉีดวัคซีนเข็มหนึ่งใกล้ถึงภูมิ 70% ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ ซึ่งไม่แน่…บรรยากาศแบบ “กทม.-ปริมณฑลแซนด์บ็อกซ์” อาจเกิดขึ้นมานำร่องการฟื้นชีวิตปากท้องประชาชนก็คงเป็นได้อยู่

     


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

 

Back To Top