skip to Main Content
02-530-9204-5 sammachiv.pr@gmail.com
ส่องโควิดนำร่องเปิดประเทศ รู้ว่าเสี่ยงแต่ก็รอช้าไม่ได้

ส่องโควิดนำร่องเปิดประเทศ รู้ว่าเสี่ยงแต่ก็รอช้าไม่ได้

ส่องโควิดนำร่องเปิดประเทศ

รู้ว่าเสี่ยงแต่ก็รอช้าไม่ได้

 

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไฮไลท์ยังจับจ้องการเปิดประเทศนำร่อง 17 จังหวัดเริ่ม 1 พ.ย.นี้ โดยขยับขยายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยจากเบื้องต้นกำหนดไว้ในกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำจำนวน 10 ประเทศ เพิ่มเป็น 46 ประเทศ

สิ่งที่น่าจับตาคือ ประเด็นนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เสนอความเห็นการเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ ว่า จะพยายามนำเสนอ ศบค. ในสัปดาห์หน้าเรื่องการเปิดเธค ผับ บาร์ คาราโอเกะ สำหรับเที่ยวกลางคืน

“คงจะไปทำความเข้าใจกับทาง ศบค. ว่า ส่วนนี้คือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ใช่นักท่องเที่ยวหรือเยาวชนไทย ซึ่งผมจะไม่พูดถึงกรุงเทพฯ เพราะกรุงเทพฯ เป็นอะไรที่ค่อนข้างควบคุมได้ยาก แต่ต่างจังหวัดจะมีโซนนักท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะควบคุมง่ายกว่า”นายพิพัฒน์ กล่าว

ส่วนสถานการณ์โควิดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 17-23 ต.ค. ยังอยู่ในระดับเฉียดหมื่นรายต่อวัน ซึ่งเพิ่มสูงเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มประเทศอาเซียนมาต่อเนื่อง ดังนั้นถ้าขมวดภาพให้ชัดเจน จึงสรุปสถานการณ์สำคัญ ดังนี้

 

พร้อมรับ นทท. 46 ประเทศเสี่ยงต่ำ

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อ 21 ต.ค. ใจความสำคัญ จะเพิ่มจำนวนรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำกลุ่มแรก ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัวจากเดิม 10 ประเทศ เป็น 46 ประเทศ เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและภาคธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่เดือดร้อนกันอย่างมากมานาน

 

ขณะที่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ประกาศรายชื่อประเทศและพื้นที่ต้นทางที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแนวปฏิบัติในการเดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 1 พ.ย. ดังนี้ ออสเตรเลีย ออสเตรีย บาห์เรน เบลเยียม ภูฏาน บรูไนดารุสซาลาม บัลแกเรีย กัมพูชา แคนาดา ชิลี จีน ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น ลัตเวีย ลิทัวเนีย มาเลเซีย มอลตา เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปแลนด์ โปรตุเกส กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ สโลวีเนีย สาธารณรัฐเกาหลี สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง

 

เงื่อนไขเข้าประเทศไทยยังคงเดิม คือ เดินทางเข้ามาได้เฉพาะทางอากาศ ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม อย่างน้อย 14 วันก่อนเดินทาง และตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR มีผลเป็นลบภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อย 50,000 เหรียญสหรัฐ ยกเว้นคนที่มีสัญชาติไทย หรือชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เมื่อมาถึงประเทศไทยต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ทันที และพักในสถานที่ที่กำหนดอย่างน้อย 1 คืน จนกว่าจะทราบผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ จึงจะเดินทางต่อได้โดยไม่ต้องกักตัว

      

 

นอกจากนี้ ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ข้อกำหนดมาตรา 9 ฉบับที่ 36 โดย พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามยกเลิกเคอร์ฟิวกรุงเทพมหานคร-ชลบุรี-ระยอง-สมุทรปราการ พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว มีผล 5 ทุ่ม วันที่ 31 ต.ค. รวมทั้งประกาศ 17 จังหวัดนำร่องท่องเที่ยวรับเปิดประเทศ ประกอบด้วย ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี กรุงเทพฯ สมุทรปราการ (สนามบินสุวรรณภูมิ) กระบี่ พังงา ประจวบคีรีขันธ์ (ต.หนองแก อ.หัวหิน) เพชรบุรี (เทศบาลเมืองชะอำ) ชลบุรี (พัทยา อ.บางละมุง, ต.จอมเทียน ต.บางเสร่ เกาะสีชัง อ.ศรีราชา) ระนอง (เกาะพยาม) เชียงใหม่ (อ.เมือง, อ.แม่ริม, อ.แม่แตง, อ.ดอยเต่า) เลย (อ.เชียงคาน) บุรีรัมย์ (อ.เมือง) หนองคาย (อ.เมือง, อ.ศรีเชียงใหม่, อ.ท่าบ่อ, อ.สังคม) อุดรธานี (อ.เมือง, อ.นายูง, อ.หนองหาน, อ.กุมภวาปี, อ.บ้านดุง) ระยอง (เกาะเสม็ด) ตราด (เกาะช้าง)

 

มีความเห็นประชาชนผ่านการสำรวจของสวนดุสิตโพล ซึ่งรายงานสวนความพร้อมเปิดประเทศของรัฐบาล โดยพบส่วนใหญ่ประชาชนมองว่า ยังไม่พร้อมเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย. 2564 โดยเป็นห่วงว่าผู้ติดเชื้อโควิดอาจเพิ่มสูงขึ้น

 

ติดโควิดยังแกว่งระดับเฉียดหมื่นราย

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อมูล ศบค.รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งประเทศ คือ 17 ต.ค. มีผู้ป่วยใหม่ 10,856 ราย, 18 ต.ค. ผู้ป่วยใหม่ 10,087 ราย, 19 ต.ค. ติดเพิ่มอีก 9,115 ราย, 20 ต.ค.ติดใหม่ 8,900 ราย, 21 ต.ค. เพิ่มใหม่ 9,701 ราย, 22 ต.ค. ติดใหม่ 9,800 ราย และ 23 ต.ค. ติดอีก 9,737 ราย รวมทั้งสัปดาห์มีมากถึง 68,176 ราย เฉลี่ยติดเชื้อเพิ่มวันละประมาณ 9,739 รายเศษ

 

สถานการณ์จังหวัดนำร่องเปิดประเทศติดเชื้อโควิดในรอบสัปดาห์

จังหวัดนำร่อง ติดเชื้อโควิดรายใหม่
(ระบุทั้งจังหวัด) 17 ต.ค. 18 ต.ค. 19 ต.ค. 20 ต.ค. 21 ต.ค. 22 ต.ค. 23 ต.ค. รวม
กทม. 1,065 1,046 1,037 1,020 1,010 908 935 7,021
ภูเก็ต 149 144 140 132 140 125 118 948
สุราษฎร์ธานี 210 227 202 245 238 241 253 1,616
ระนอง 29 32 23 22 19 15 17 157
กระบี่ 83 93 109 91 83 91 94 644
พังงา 98 96 34 85 95 66 71 545
ประจวบคีรีขันธ์ 158 145 238 107 182 341 445 1,616
เพชรบุรี 136 139 109 149 165 146 146 990
ชลบุรี 389 354 310 328 359 299 373 2,412
สมุทรปราการ 343 247 299 359 308 307 312 2,175
เลย 8 20 10 7 10 16 18 89
บุรีรัมย์ 32 29 33 31 25 30 32 212
หนองคาย 24 3 4 17 22 20 24 114
อุดรธานี 153 158 121 89 117 161 190 989
ระยอง 346 402 229 146 301 227 230 1,881
ตราด 87 60 40 102 72 42 171 574
เชียงใหม่ 360 314 199 294 357 412 356 2,292
ที่มา: รวบรวมจากการรายงานของ ศบค.

 

ดังนั้นสถานการณ์โควิดของไทยไม่ได้ลดน้อยลง หากเปรียบเทียบในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ข้อมูล 5 อันดับที่ติดเชื้อมากสุดเมื่อ 23 ต.ค.นั้น ไทยติดเชื้อใหม่เป็นอันดับหนึ่งมาต่อเนื่อง รองลงมาเป็นมาเลเซีย 6,630 ราย ตามด้วยฟิลิปปินส์ 5,823 ราย เวียดนาม 3,985 และสิงคโปร์ 3,637 ราย

 

เมื่อพิจารณาการติดเชื้อรายใหม่ทั้งสัปดาห์แล้ว พบว่า จังหวัดใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวล้วนติดโควิดเพิ่มรายวันสูงระดับพันรายทั้งสิ้น เช่น กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ ชลบุรี ระยอง และเชียงใหม่ ดังนั้น สถานการณ์การเปิดประเทศจึงน่าวิตกยิ่ง

 

นอกจากนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน องค์การเภสัชกรรมขายชุดตรวจ ATK ราคา 40 บาท โดยขายผ่านร้านขายยาขององค์การเภสัชกรรม 8 สาขาทั่วกรุงเทพฯ วันแรก แล้วขยับมาเป็นขายออนไลน์ ขณะเดียวกัน ยังพบการระบาดคลัสเตอร์ภูทับเบิก เพชรบูรณ์ พร้อมๆกับการแพร่เชื้อขยายวงกว้างอย่างรวดเร็วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังน่าหวั่นวิตกยิ่ง

 

ส่วนการเปิดเทอมของนักเรียนนั้น สพฐ.เตรียมแผนเปิดภาคเรียน 1 พ.ย.นี้ พร้อมกันทั้งประเทศแบบไม่บังคับ โดยจัดการเรียนการสอนเน้นความปลอดภัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ และเตรียมแผนเผชิญเหตุ กรณีเกิดปัญหาขึ้นในโรงเรียน แต่ยังเร่งฉีดวัคซีนให้นักเรียนได้เพียง 2 ล้านคนคิดเป็น 53.78% ของนักเรียนยื่นความประสงค์ฉีด 3.7 ล้าน

 

เร่งฉีดวัคซีน

ข้อมูล ศบค. รายงานผู้รับวัคซีนสะสมเมื่อ 22 ต.ค. มีจำนวนสะสม 69,923,540 โดส แบ่งเป็นเข็มหนึ่ง 39,708,520 โดส คิดเป็น 55.1% ของประชากร เข็มสองจำนวน 28,106,044 โดส คิดเป็น 39.0% ของประชากร และเข็มสามจำนวน 2,108,976 โดส คิดเป็น 2.9%ของประชากร ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ฉีดวัคซีนเข็มสองได้มากที่สุดจำนวน 5.4 ล้านคน หรือ 70.63% ซึ่งเตรียมพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

กระทรวงสาธารณสุข คาดว่า ภายในต้นเดือน ธ.ค. นี้ จะฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสตามเป้าหมาย ส่วนพื้นที่ระบาด 4 จังหวัดชายแดนใต้ เตรียมจัดส่งวัคซีนเพิ่มอีก 500,000 โดส อีกทั้งอนุมัติให้เด็กชายอายุ 12-16 ปี สามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์+ไฟเซอร์ได้ หลังคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค มีมติให้สามารถฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็ม 2 ในเด็กชายอายุ 12-16 ปี โดยเป็นไปตามความสมัครใจและความประสงค์ของผู้ปกครองและเด็กนักเรียน

 

การฉีดวัคซีนและเสียชีวิตของจังหวัดนำร่องเปิดประเทศ

จังหวัดนำร่อง ฉีดวัคซีน (เมื่อ 22 ต.ค.) และเสียชีวิต
(ระบุทั้งจังหวัด) เข็ม 1 เข็ม 2 เสียชีวิตสะสม
กทม. 8.23 ล้าน (107%) 5.68 ล้าน (73.88%) 220
ภูเก็ต 453,849 (82.8%) 421,649 (77.0%) 55
สุราษฎร์ธานี 561,480 (49.08%) 446,769 (39.05%) 64
ระนอง 141,938 (62.12%) 115,750 (50.65%) 65
กระบี่ 292}362 (58.06%) 171,946 (34.15%) 23
พังงา 182,371 (63.69%) 150,467 (52.66%) 18
ประจวบคีรีขันธ์ 320,124 (55.38%) 253,137 (43.79%) 62
เพชรบุรี 290,457 (57.76%) 222,036 (44.16%) 83
ชลบุรี 1.61 ล้าน (79.03%) 1.24 ล้าน (60.68%) 134
สมุทรปราการ 1.39 ล้าน (72.21%) 1.05 ล้าน (54.86%) 172
เลย 290,501 (45.37%) 188,843 (29.49%) 28
บุรีรัมย์ 861,825 (54.29%) 607,649 (38.28%) 46
หนองคาย 235,089 (45.29%) 160,067 (30.84%) 20
อุดรธานี 693,496 (44.29%) 466,142 (29.77%) 69
ระยอง 549,800 (56.86%) 402,017 (41.58%) 98
ตราด 130,854 (52.46%) 93,350 (37.42%) 59
เชียงใหม่ 969,753 (56.08%) 662,661 (38.32%) 34
รวมทั้งประเทศ 39.73 ล้าน (55.17%) 28.14 ล้าน (39.07%) 18,699
ที่มา: รวบรวมจาก https://ddc.moph.go.th

 

 

นอกจากนี้ บ.ซิลลิค ฟาร์มา ออกแถลงการณ์ยืนยันวัคซีนโมเดอร์นา ลอตแรกจัดส่งถึงไทยไม่เกิน 5 พ.ย.นี้ จำนวน 560,000 โดส ส่วนที่เหลือจะมาในไตรมาส 4 แน่นอน รวมทั้ง บริษัทไฟเซอร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ระบุว่าผลการทดสอบวัคซีนไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ในเด็กอายุ 5-11 ปี จำนวน 2,268 คน พบว่าวัคซีนไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพร้อยละ 90.7 ในการป้องกันอาการป่วยโรคโควิดในเด็กกลุ่มอายุดังกล่าว

 

ดังนั้น ทั้ง 17 จังหวัดนำร่องเปิดประเทศนั้น พบว่ามีเพียง กรุงเทพฯ และภูเก็ตที่ฉีดวัคซีนครบโดส คือ 2 เข็มเกิน 70% และ ชลบุรีใกล้ครบ 70% ของประชากร ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ป้องกันเชื้อโควิดระบาดได้ แต่จังหวัดที่เหลือมาตรการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดยังมีน้อยจนสุ่มเสี่ยงเกิดการระบาดครั้งใหม่

 

พล.อ.ปรยุทธ์ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊คเมื่อ 21 ต.ค.ต้องเร่งเปิดประเทศ เพราะถ้ารอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบย่อมทำให้ช้าเกินไป เนื่องจากอินโดนีเซีย (บาหลี) ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และมาเลเซีย ต่างก็กำลังทำเช่นเดียวกัน รวมทั้งมีการผ่อนคลายมาตรการข้อบังคับต่างๆ

 

“เรารู้ดีว่าการเร่งเดินหน้าอย่างรวดเร็วนี้ย่อมมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่เราต้องยอมรับ ผมคิดว่าตอนนี้ประเทศไทยเอง รวมถึงประเทศอื่นๆ ในโลกต่างก็มีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงของโควิด-19 ได้ดีขึ้น และเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ให้ได้”

 

นี่คือ ความเร่งรีบนำพาประชาชนไปอยู่ท่ามกลางความสุ่มเสี่ยงเปิดประเทศช่วงชิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในรหัสการเปิดประเทศจะรอช้าไม่ได้

 

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

Back To Top