เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ
หลักการและเหตุผล
หลักเกณฑ์การตัดสิน
เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ
เป็นความริเริ่มของมูลนิธิสัมมาชีพ เพื่อส่งเสริมและยกย่อง SME ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพด้วยความสุจริต มีคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์ ให้แก่สังคมและประเทศชาติ
มีคุณลักษณะตามเกณฑ์ 4 ด้านได้แก่
- เกณฑ์สัมมาชีพ
- เกณฑ์ความรับผิดชอบต่อสังคม
- เกณฑ์ธรรมาภิบาล
- เกณฑ์ความสามารถทางธุรกิจ
คุณลักษณะ SME สัมมาชีพ
เกณฑ์สัมมาชีพ : เป็นกิจการที่ประกอบการบนพื้นที่ของสัมมาอาชีวะ(ไม่ประกอบมิจฉาอาชีวะ 5 ประการ)
เกณฑ์ความรับผิดชอบต่อสังคม : มีกิจกรรมที่มีส่วนในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชนและสังคม รวมถึงการดำเนินกิจการที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นสำคัญ
เกณฑ์ธรรมาภิบาล : มีการจัดทำบัญชีและงบการเงินสอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ(บัญชีเล่มเดียว)
เกณฑ์ความสามารถทางธุรกิจ : มีผลประกอบการที่เป็นกำไร ติดต่อกันสองรอบบัญชีล่าสุด
ขั้นตอนการดำเนินโครงการ
- เปิดรับ SME เข้าร่วมโครงการ
- คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก
- ประกาศรายชื่อ SME ที่ได้รับการพิจารณา และพิธีมอบรางวัล
มูลนิธิสัมมาชีพ
เปิดรับ SME ที่สนใจเข้าร่วมรับการพิจารณารางวัล SME สัมมาชีพแห่งปี โดย SME ที่ได้รับรางวัล มีโอกาสในการเข้าร่วมในเครือข่าย SME สัมมาชีพและร่วมดำเนินงานกับชุมชนที่ SME ประกอบการอยู่ในพื้นที่ ในการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อนำไปสู่ความมั่นคงและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ผู้รับผิดชอบโครงการมูลนิธิสัมมาชีพ
คณะกรรมการพัฒนาวิสาหกิจ | |||
1. ดร.พิพัฒน์ | ยอดพฤติการ | ประธาน | |
2. ดร.ณพพงศ์ | ธีระวร | กรรมการ | |
3. ดร.กรัณย์ | สุทธารมณ์ | กรรมการ | |
4. คุณมนทิรา | เข็มทอง | กรรมการ | |
5. คุณลดาวัลย์ | กันทวงศ์ | กรรมการ | |
6. คุณอิทธิพันธ์ | อมรอรรถโกวิท | กรรมการ | |
7. คุณอาทิตย์ | เคนโสม | กรรมการ | |
8. คุณภูมิพันธ์ | บุญมาตุ่น | กรรมการ | |
9. คุณพิสาร | หมื่นไกร | กรรมการเลขานุการ |
เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ
รายชื่อ | ประเภทธุรกิจ | ที่อยู่ | |
1. | บริษัท กาแฟวาวี จำกัด | แปรรูปผลผลิตการเกษตรและกิจการเครื่องดื่ม– ผลิตและจำหน่ายกาแฟ | 183/2 หมู่ 6 ต.ฟ้าฮ่ามอ.เมือง จ.เชียงใหม่ |
2. | บริษัท กรีนโกรทออร์แกนิค จำกัด | การแปรรูปผลผลิตการเกษตร - ข้าวอินทรีย์ ถั่วเขียว และยาสระผม | 18/8 หมู่ที่ 7 ต.ทัพทัน อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี |
3. | ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน | ค้าเส้นไหม อุปกรณ์สำหรับการทอผ้าไหม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากรังไหม | 162 ถ.จิตรบำรุง ต.ในเมือง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ |
4. | บริษัท ที เจ เฮ้าส์ จำกัด | แปรรูปผลผลิตการเกษตร - เครื่องสำอางจากโปรตีนรังไหม | 418/3 ถ.ศรีสวัสดิ์ดำเนิน ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม |
องค์กร | บริษัท กาแฟวาวี จำกัด |
ที่ตั้งบริษัท | 183/2 หมู่ 6 ต.ฟ้าฮ่ามอ.เมือง จ.เชียงใหม่ |
ประเภทธุรกิจ | แปรรูปผลผลิตการเกษตรและกิจการเครื่องดื่ม– ผลิตและจำหน่ายกาแฟ |
ลักษณะเฉพาะ | บริษัท กาแฟวาวี จำกัด เป็นตัวอย่างของการพัฒนากิจการตามศักยภาพของห่วงโซ่อุปาทานการผลิตกาแฟ ซึ่งเป็นพืชที่ได้รับการส่งเสริมในพื้นที่สูง การจัดการอาชีพสำหรับชนเผ่า/ชนกลุ่มน้อย ไปสู่พัฒนา Product เป็น Brand ของกาแฟ ที่เจาะจงถึงถิ่นกำเนิด (แหล่งปลูก) ในขณะเดียวกันก็พัฒนาการปลูกแบบ Organic |
การสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับชุมชน | บริษัท รับซื้อวัตถุดิบจากชุมชนและจ้างแรงงานในชุมชนคัดแยกเมล็ด และการแปรรูปโดยรับซื้อเมล็ดกาแฟจากสมาชิกเกษตรกร 56 ครัวเรือน ซึ่งปริมาณผลผลิตที่รับซื้อในปี 2559 ประมาณ 50 ตัน มีพื้นที่ปลูกประมาณ 336 ไร่ (เฉลี่ยผลผลิต 1ตันต่อไร่) สมาชิกมีพื้นที่เพาะปลูกเฉลี่ยประมาณ 6 ไร่ ต่อครัวเรือน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไร่ละ 12,500 บาท มีรายได้เฉลี่ยปีละ 75,000 บาท/ครัวเรือน ดังนั้น ปี 2559 บริษัทสร้างรายได้ให้กับสมาชิกชุมชนทั้งสิ้น 4,200,000 บาท การจ้างงานจะมี 2 รูปแบบ หนึ่ง จ้างแรงงานเพื่อคัดเมล็ดกาแฟ ดูแลสวน และโรงงานในช่วงการผลิต 3 เดือน จำนวน 20 คน ๆละ 200 บาทต่อวัน จะเป็นรายได้ต่อคนเดือนละ 6,000 บาท (18,000 บาทต่อคนต่อฤดูการผลิต) สอง จ้างเป็นพนักงานประจำ 3 คน เดือนละ 12,000 บาท(144,000 บาท ต่อคน/ปีและรวม 3 คน เป็นเงิน 432,000 บาทต่อปี) หลังฤดูการเก็บเกี่ยวทุกปี จะมีเงินสวัสดิการสำหรับผู้ที่รักษามาตรฐานการเก็บเมล็ดกาแฟกิโลกรัมละ 2 บาท การส่งเสริมสนับสนุนในด้านความรู้ ส่งเสริมการทำปุ๋ยอินทรีย์ จากเปลือกกาแฟมาผ่านกระบวนการหมักทำปุ๋ยอินทรีย์พร้อมมูลไส้เดือนนำไปใส่ในไร่กาแฟอีกครั้ง เพื่อลดต้นทุนการปลูกให้กับสมาชิกส่งเสริมสนับสนุนการปลูกกาแฟ Organic ถือได้ว่า บริษัท กาแฟวาวี จำกัด เป็นบริษัทเอกชนขนาดเล็กหรือ Small Business ที่นำเอาแนวคิดว่าด้วยการจัดการแบบเกษตรอินทรีย์มาประกอบเป็นกลยุทธ์สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันทางการตลาดให้กับบริษัท พร้อมๆไปกับการสร้างความยั่งยืนของธุรกิจคู่ขนานไปกับการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชนกลุ่มน้อยในพื้นที่บนดอยสูง – เป็นกิจการประเภทหนึ่งของ Social Entrepreneurship |
จุดที่ควรพิจารณา | ตลาดกาแฟในปัจจุบันมีการแข่งขันสูง การสร้างแบรนด์กาแฟทั้งการตลาดผู้บริโภค จะมีความจำเป็นสูงมาก ดังนั้น จุดที่อ้างอิงแหล่งกำเนิด การสร้างความเชื่อมโยงกับชุมชนและการเกษตรบนพื้นที่สูงการปลูกและผลิตกาแฟแบบอินทรีย์ จะเป็นหนึ่งในมาตรการของการสร้างความโดดเด่นของแบรนด์ |
ข้อแนะนำสำหรับโครงการเพื่อการสร้างเศรษฐกิจชุมชน | ต้นแบบ – การสร้างเศรษฐกิจบนพื้นที่สูง เกษตรอินทรีย์ และตัวอย่างของการนำเอาเรื่องเพื่อสังคมมาใช้เป็นความสามารถทางการแข่งขันในการสร้างตลาดเพื่อผู้บริโภค |
ข้อเสนอแนะ การพัฒนาระบบเกษตรอินทรีย์บนที่ราบสูงบริษัท กาแฟวาวี จำกัด
การวิเคราะห์ “ธุรกิจ” ของบริษัทกาแฟวาวีจำกัด
Social Purpose | Project Activities | Process | Output | Outcome/ Impact |
เกษตรบนพื้นที่สูง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย ที่เคยมีประเด็นปัญหาการนับรวมเป็นสังคม ตั้งแต่เรื่องของสัญชาติ การค้ายาเสพติด การปลูกพืช/อาชีพทดแทน การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการยอมรับทางสังคม ฯลฯ
การปลูกกาแฟ ยังเป็นกระบวนการผลิตแบบใช้ปุ๋ยเคมี ยังไม่มีศูนย์เรียนรู้ แบบการเกษตรอินทรีย์ ในขณะเดียวกันก็ยังประสบปัญหาจากภัยแล้ง
|
บริษัทกาแฟวาวี จำกัด มีผลิตภัณฑ์ คือ เมล็ดกาแฟแปรรูป และการเปิดร้านจำหน่ายกาแฟชงพร้อมดื่ม
ส่งเสริมและรับซื้อเมล็ดกาแฟจากสมาชิกเกษตรกร 56 ราย ได้ผลผลิตเฉลี่ยปี 2559 ประมาณ 50 ตัน ส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ให้มีการปรับวิธีการปลูกกาแฟ เป็นกาแฟ Organic เพื่อลดต้นทุนในการผลิต และรับซื้อในราคาที่สูงกว่ากาแฟทั่วไป ดำเนินกิจการสนับสนุนชุมชนบนพื้นที่สูงด้วยงานแบบอินทรีย์พร้อมกับการสร้าง Brand ต่อผู้บริโภคในเมืองลักษณะการตลาด |
ส่งเสริมเกษตรกรเครือข่ายสมาชิกจำนวน 56 ราย พื้นที่รวมโดยประมาณ 336 ไร่ เฉลี่ยคนละ 5-10 ไร่ ต่อคนให้ปรับเปลี่ยนการปลูกจากการใช้สารเคมีเป็นปุ๋ยอินทรีย์ | เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไร่ละ 12,000-13,000 บาท ต่อปี โดยยังมีเงินย้อนหลังเป็นสวัสดิการสำหรับผู้ที่รักษามาตรฐานการเก็บเมล็ดกาแฟกิโลกรัมละ 2 บาท | การสร้างงานทางตรงให้กับเกษตรกรบนพื้นที่สูง 56 ราย (ครัวเรือน) สร้างงานโดยการจ้างแรงงาน 23 คน
ปรับเปลี่ยนการปลูกกาแฟแบบอินทรีย์เพื่อสร้างเป็นความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งชาวไร่กาแฟ และบริษัทวาวี
|
จ้างแรงงานในชุมชนภายหลังฤดูการเก็บเกี่ยว 20 ราย วันละ 200 บาท จ้างแรงงานในชุมชนเป็นพนักงานประจำ 3 ราย เดือนละ 12,000 บาท
กระบวนการคัดเมล็ดต้องใช้คนงานคัดด้วยมือและส่งขายที่บริษัทอยู่จังหวัดเชียงใหม่ |
ผลประกอบการ ณ.ปี 2559
39,217,570.83 บาท ผลกำไรสุทธิ 2,819,325.47 บาท |
|||
จัดทำศูนย์เรียนรู้ (เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการปลูก) นำเปลือกกาแฟมาผ่านกระบวนการหมักทำปุ๋ยอินทรีย์พร้อมมูลไส้เดือนนำไปใส่ในไร่กาแฟอีกครั้ง | ||||
ขยายการปลูกไปจังหวัดเชียงใหม่ในรูปของตัวแทนได้แก่ ออมก๋อยและสะเมิง เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต | ||||
ได้มาตรฐาน USDA,EU, AUO ปัจจุบัน บริษัทส่งกาแฟไปยังประเทศญี่ปุ่น 6.5 ตัน/ปี |
บริษัท กรีนโกรทออร์แกนิค จำกัด
องค์กร | บริษัท กรีนโกรทออร์แกนิค จำกัด จังหวัดอุทัยธานี |
ที่ตั้งบริษัท | 18/8 หมู่ที่ 7 ต.ทัพทัน อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี |
ประเภทธุรกิจ | การแปรรูปผลผลิตการเกษตร – ข้าวอินทรีย์ ถั่วเขียว และยาสระผม |
ลักษณะเฉพาะ | บริษัท กรีนโกรออร์แกนิค จำกัด เป็นกิจการที่สร้างตัวจากเครือข่ายการเกษตรแบบอินทรีย์ ให้ความสำคัญต่อมาตรฐานอินทรีย์ทั้งในและต่างประเทศเป็นกิจการของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ จบการศึกษาปริญญาโท เปลี่ยนวิถีชีวิตจากการทำงานในระบบและเมืองใหญ่ ไปสร้างเศรษฐกิจใหม่ร่วมกับผู้คนในชุมชนบ้านเกิดของตนที่จังหวัดอุทัยธานี
เป็นการประกอบการรูปแบบบริษัท ไปเชื่อมโยงการผลิตของเกษตรกรที่ยินดีร่วมเป็นผู้ผลิตสนับสนุนวัตถุดิบ โดยการขาย ในราคาที่เป็นธรรมกับทางบริษัท |
การสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับชุมชน | บริษัทกรีนโกรทออร์แกนิค จำกัด สนับสนุนและรับซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิกเครือข่ายเกษตรกร 6 ราย จากการทำนาจำนาวน 150 ไร่ โดยมีการกำหนดปริมาณและประกันราคาการรับซื้อสูงกว่าท้องตลาดเพิ่มอีก 1 เท่าตัว (โดยเฉลี่ยในปี 2559 รับซื้อข้าวเปลือกอินทรีย์ราคาตันละ 15,000 บาท) ในขณะที่ราคาท้องตลาดทั่วไป อยู่ที่ตันละ 7,500 บาท สร้างเครือข่ายผู้ปลูกพืช ผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบสำหรับใช้ทำยาสระผมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท คือ มะกรูด 15 ราย,ดอกอัญชัน 2 ราย การทำงานของบริษัท มุ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์การเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศูนย์การเรียนรู้ แนะนำ และขยายตัวเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ |
จุดที่ควรพิจารณา | การประสบความสำเร็จในการประกอบกิจการในระดับชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์อินทรีย์ ซึ่งเป็นแนวโน้มเชิงบวกของกระแสตลาด เป็นทุนที่สังคมในชนบทเคยมีและถูกมองข้ามไป ได้ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่และสามารถประกอบการเป็นอาชีพได้ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงการผลิตจากระบบเคมีมาเป็นระบบอินทรีย์ของชุมชน |
ข้อแนะนำสำหรับโครงการเพื่อการสร้างเศรษฐกิจชุมชน | ต้นแบบ – ศูนย์กลางการพัฒนาเป็นเครือข่ายผลิตภัณฑ์อินทรีย์ |
การวิเคราะห์ “ธุรกิจ” ของบริษัท กรีนโกรทออร์แกนิค จำกัด
Social Purpose |
Project Activities | Process | Output |
Outcome/Impact |
การทำเกษตรแบบเคมี ทำให้เกษตรอ่อนแอลง ทั้งในการจัดการต้นทุน ละทิ้งกระบวนการรวมกลุ่ม และเมื่อประสบภาวะการผันผวนของราคา จึงไม่สามารถจะรองรับความเสี่ยงเหล่านั้นได้ ผลที่เกิดขึ้นแบบคู่ขนานของการใช้สารเคมี คือ ปัญหาสุขภาพของเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค (ความเกี่ยวข้องของชนบทและเมือง)
|
บริษัท กรีนโกรทออร์แกนิค สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วยระบบอินทรีย์มาตรฐาน
สร้างเครือข่ายการจัดการวัตถุดิบที่เป็น มะกรูด ใบย่านาง ดอกอัญชันกระเจี๊ยบแดง และถั่วเขียวเพิ่มเติมจากเครือข่ายผู้ปลูกข้าวในเขตอำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานีจำนวน 6 ราย ในพื้นที่ปลูกข้าวออร์แกนิค จำนวน 150 ไร่ |
การผลิตข้าวอินทรีย์ จะมีขั้นตอนการตรวจสอบและมีการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ในประเทศไทย และ มาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices)
บริษัทได้รับการรับรอง มาตรฐาน 0rganic Thailandซึ่งจะคลอบคลุมมาตรฐานต่าง ๆ เช่น GAP ,GMP ,HACCP.CoC,เกษตรอินทรีย์ และได้รับการรับรอง มาตรฐาน EU GAP โดยที่กระบวนการส่งเสริมการปลูกพืช ผลไม้ต่างๆของบริษัทก็จะดำเนินไปตามเกณฑ์มาตรฐานนี้ |
ปี 2559 บริษัท มียอดขาย 2 ล้านบาทมีกำไร 297,788.33.บาท
โดยบริษัทมีความประสงค์จะจัดการตามแนวทางของบริษัทวิสาหกิจเพื่อสังคม (ตามประมวลรัษฎากร) ที่ให้นำเอากำไรไปส่งเสริมการลงทุนสำหรับสมาชิกและชุมชน 70% และปันผลผู้ถือหุ้น 30 % ในปี 2559 การผลิตสินค้าตามระบบเครือข่ายอินทรีย์กับบริษัท สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายแบบทั่วไปอีกเท่าตัวคิดเป็น 557,800 บาท |
ตัวอย่างของการประกอบการในระดับชุมชนที่คำนึงถึงการจัดการแบบอินทรีย์ /ไม่ใช้เคมี
สร้างรายได้ให้กับสมาชิก 6 ราย เป็นเงิน 557,800 บาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจาก “งานมาตรฐาน/อินทรีย์” เป็นตัวอย่างของการริเริ่มการประกอบการ การพึ่งตนเอง ด้วยการจัดการวิถีการผลิตแบบใหม่ –เป็นกรณีศึกษาของ Disruptive Innovation |
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน
องค์กร | ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน |
ที่ตั้งบริษัท | เลขที่ 162 ถ.จิตรบำรุง ต.ในเมือง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ |
ประเภทธุรกิจ | ค้าเส้นไหม อุปกรณ์สำหรับการทอผ้าไหม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากรังไหม |
ลักษณะเฉพาะ | ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน ที่ต่อยอดการเติบโตจากธุรกิจครอบครัวในระดับท้องถิ่น ตั้งอยู่บนพื้นฐานการดำรงไว้ซึ่งวิถีการผลิตและเศรษฐกิจของ การเลี้ยงไหม การทอผ้าไหม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและสังคมของคนอีสานใต้ ร้านในเมืองเป็นตัวแทนค้าส่งอุปกรณ์การทอผ้าไหม มีโรงงานสาวไหมที่นิคมพัฒนาสร้างตนเองที่กาบเชิง (ผลิตเส้นไหม ย้อมไหม คัดแยกวัตถุดิบเพื่อการใช้ประโยชน์จากรังไหมเพื่อการอื่นๆ) มีโรงงานขนาดย่อมเล็กๆในหมู่บ้านกระทม 2 แห่ง เป็นโรงงานสาวเส้นยืน ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าไหมทองบ้านกระทม ตั้งอยู่ที่สวนหม่อนและศูนย์เรียนรู้ถือได้ว่า เป็นผู้สร้างงานในระดับท้องถิ่น มีการจ้างงานในโรงงาน มีการเชื่อมโยงงานโรงงานกับการใช้ชีวิตประจำวันของชุมชน (ทั้งแบบชุมชนซื้ออุปกรณ์ไปเป็นเครื่องมือในครัวเรือน และที่ หจก.นำไปตั้งโรงงานในชุมชน) |
การสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับชุมชน |
|
จุดที่ควรพัฒนา |
|
ข้อแนะนำสำหรับ โครงการเพื่อการสร้างเศรษฐกิจชุมชน | ต้นแบบ –Social Entrepreneurship ของวิสาหกิจครัวเรือน และการขยายบทบาทเพื่อสังคมในระดับชุมชน |
การวิเคราะห์ “ธุรกิจ” ของห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน
Social Purpose | Project Activities | Process | Output |
Outcome /Impact |
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การทอผ้าไหม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดของหม่อนไหมแม้ว่าจะการส่งเสริมจากภาครัฐ ก็ยังไม่เพียงพอ
ชุมชนในภาคอีสานตอนใต้ ยังปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ตามวิถีการผลิตแบบเดิม – ทั้งๆที่การตลาดพัฒนาไปจากวิถีทางสังคมวัฒนธรรมแบบเดิมไปสู่การตลาดโดยสมบูรณ์แล้ว
|
ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรือนไหมใบหม่อน เป็นธุรกิจภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ในบทบาทต่างๆ ดังนี้
|
ผู้จำหน่ายอุปกรณ์และเส้นไหมเป็นศูนย์การจำหน่ายของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | ยอดขายปี 2559ได้ 11ล้านบาท มีกำไร 3 ล้านบาท | ทำให้ชุมชนมีเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับทอผ้าไหม ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่สร้างรายได้เพิ่ม (และพัฒนาเป็นกิจการในรูปแบบอื่นได้อีก) เช่น ที่บ้านประทุน ต.แตล อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ สมาชิกทอผ้า 70 คน มีรายได้จากการทอผ้าโสร่ง เดือนละ 5 ล้านบาท |
โรงงานสาวไหม ย้อมเส้นไหม และคัดแยกวัสดุที่นิคมกาบเชิงโรงงานนี้ต้องใช้เส้นไหมผลิตเส้นยืนเดือนละ 2 ตัน(ชุมชนในพื้นที่สนับสนุนวัตถุดิบได้ 0.8 ตัน ต้องนำเข้าเส้นไหมจากบริษัทจุลไหมไทย จ.เพชรบูรณ์)
มีการจ้างแรงงานทำงานสาวไหมและย้อมที่โรงงาน 45คน รวมทั้งการส่งเสริมให้ชุมชนปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เป็นเครือข่ายแบบลูกไร่ 210 คน |
ยอดขาย ปี 2559ได้ 3ล้านบาท (เป็นฝ่ายผลิตผลกำไรจะรวมอยู่ที่ศูนย์จำหน่าย) | |||
จ้างแรงงาน 45คน มีรายได้โดยเฉลี่ยคนละ 9,013 บาทต่อเดือน | ||||
สร้างอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 210 คน มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ 11,500 บาท ต่อเดือน | ||||
โรงงานย่อยในชุมชนเพื่อขึ้นเส้นยืน ทอผ้า จำนวน 43 คน | มีรายได้เฉลี่ยคนละ 8,000 บาท ต่อเดือน
มีรายได้เฉลี่ยคนละ 5,000 บาท ต่อเดือน |
|||
เครือข่ายการทอผ้าไหมในชุมชน (กิจการในครัวเรือน –ทำงานยามว่าง) จำนวน 26คน |
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆจากวิสาหกิจปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม
- พัฒนาเป็นเครื่องสำอาง สบู่ เซรั่มบำรุงผิวบำรุงหน้า
- ดักแด้กระป๋อง
ความร่วมมือเครือข่ายองค์กรเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจ
- กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมทำ MOU กับนิคมสร้างตนเองเลี้ยงไหม(ในพระบรมราชานุเคราะห์) และสนับสนุนงบประมาณสร้างโรงงานใหม่ 29ล้านบาท
- กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ประเทศไทย) ให้ความรู้เรื่องอุตสาหกรรมเส้มไหม
- ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) ช่วยทำวิจัยเรื่องผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
- อุตสาหกรรมจังหวัดสุรินทร์ ให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการบ่อบำบัด
- พัฒนาชุมชนจังหวัดสุรินทร์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP
- สำนักงานพาณิชจังหวัด ช่วยอบรมเรื่องการตลาด
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับไหม
- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ช่วยเหลือเรื่องการตลาดและ E-Commerce
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ช่วยเหลือเรื่องการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์
บริษัท ที เจ เฮ้าส์ จำกัด
องค์กร | บริษัท ที เจ เฮ้าส์ จำกัด |
ที่ตั้งบริษัท | 418/3 ถ.ศรีสวัสดิ์ดำเนิน ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม |
ประเภทธุรกิจ | แปรรูปผลผลิตการเกษตร – เครื่องสำอางจากโปรตีนรังไหม |
ลักษณะเฉพาะ | ลักษณะของธุรกิจ เป็นเครื่องสำอางจากโปรตีนรังไหมที่สร้างเป็นNew Product โดยการคิดค้น และพัฒนาเป็นงานวิจัยร่วมกับทางมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (สถาบันการศึกษาและการวิจัยในระดับท้องถิ่น) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สถานการณ์วิจัยระดับชาติ)บริษัท ที เจ เฮาส์ จำกัด (ผู้ประกอบการในท้องถิ่น) และการริเริ่มที่จะสร้างความร่วมมือกับกลุ่มผู้เลี้ยงไหมในระดับชุมชน จำนวน 42 ครัวเรือน ที่หมู่บ้านบ้านหนองบัวแปะ ต.ขามเรียน อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม เป็นตัวอย่างของกิจการที่ริเริ่มจากการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่โยงเข้ากับการสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนภาคเกษตร-ชนบท ที่สร้างขึ้นจากผลงานวิจัยทางวิชาการ มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ สอดคล้องกับความนิยมทางการตลาดที่ต้องการปรับเปลี่ยนเครื่องสำอางจากการผสมสารเคมีเป็นสมุนไพร รวมทั้งจัดองค์กรแบบความร่วมมือ |
การสนับสนุนเศรษฐกิจในระดับชุมชน | ส่งเสริมการสร้างการประกอบการธุรกิจใหม่ ประเภทเครื่องสำอาง เป็นธุรกิจแขนงใหม่ในจังหวัดมหาสารคาม ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งเสริมและพัฒนาความรู้เรื่องการเลี้ยงไหม ให้กับกลุ่มเกษตรกรโดยเลี้ยงแบบโตเร็ว เพื่อขาย “รังไหมปาด”กก. ละ 800 – 1,500 บาท จะทำให้เกษตรกรใช้เวลาต่อการผลิตที่เร็วกว่าเดิม และสามารถจะขายรังได้ทุกประเภท ทุกกรณี (หากขายเพื่อสาวไหม – รังแฝด จะไม่มีราคา) |
จุดที่ควรพัฒนา | การริเริ่มการผลิตเครื่องสำอางบำรุงผิว COCOON สบู่ และแป้งผงไหม ปรากฏว่าได้รับการตอบสนองจากตลาดเป็นอย่างดี ในขณะที่บริษัท ที เจ เฮ้าส์ จำกัด ซึ่งมีกิจการส่งเสริมการวัสดุทางการเกษตรกับเกษตรกร มีความใกล้ชิดกับการส่งเสริมเกษตรผู้เลี้ยงไหมดังนั้น ในเบื้องต้นควรจัดระบบการบริหารจัดการให้มีการวางแผนการตลาด การผลิต และการสนับสนุนวัตถุดิบ ให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาความร่วมมือของชุมชน ซึ่งจะมีจุดเด่นตรงที่ใช้เวลาการเลี้ยงสั้นกว่า สร้างรายได้ต่อรอบได้มากกว่า และสามารถใช้ประโยชน์จากรังไหมทุกขนาดทุกประเภท ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่างไปจากการเลี้ยงเพื่อการผลิตเส้นไหม (และจะปะทะกับความคิดของชุมชนที่เคยเลี้ยงเพื่อธุรกิจสาวไหม-เส้นไหม-ผ้าไหม) |
ข้อแนะนำสำหรับโครงการเพื่อการสร้างเศรษฐกิจชุมชน | ต้นแบบ – การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่/ตลาดใหม่ของผลิตภัณฑ์รังไหม ซึ่งจะขยายการเลี้ยงไหมเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่ผ้าไหม |
ข้อสังเกต การให้รางวัลประเด็นเครื่องสำอางรังไหม พัฒนาโครงการในตัวเครื่องสำอาง และกลุ่มผู้เลี้ยงไหม
การวิเคราะห์ “ธุรกิจ” ของบริษัท ที เจ เฮ้าส์ จำกัด
Social Purpose | Project Activities | Process | Output | Outcome Impact |
จังหวัดมหาสารคามเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีการประกอบอาชีพการเลี้ยงไหม และการทำผลิตภัณฑ์จากไหม
ที่ผ่านมาเกษตรกรก็มีการเลี้ยงไหม และแปรรูปเป็นเส้นไหมขาย และแปรรูปเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในขณะที่การเลี้ยงไหม เป็นทุนทางสังคมที่สำคัญ แต่กลับมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการพัฒนาการผลิตเลี้ยงไหม ไม่มากนัก |
บริษัท ทีเจ เฮ้าส์ สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหาสารคามโดย ดร.วัลยา สุทธิขำ ซึ่งมีประสบการจากประเทศญี่ปุ่นในเรื่องเทคโนโลยีการเลี้ยงไหม
พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากโปรตีนไหมเป็นเครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ เป็นสมุนไพร ลดการใช้สารประกอบที่เป็นเคมีในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สร้างผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ COCOON พร้อมทั้งสบู่ และแป้งผงไหม ส่งเสริมให้เกษตรเลี้ยงไหมแบบใหม่ |
บริษัท ทีเจ เฮ้าส์ ซึ่งมีกิจการที่เกี่ยวข้องเรื่องการเกษตรกร จึงร่วมมือกับนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
การผลิตสินค้าในปัจจุบัน ยังเป็นช่วงเริ่มต้น ยังใช้วิธีจ้างโรงงานผลิตตามออร์เดอร์ที่มี ส่งเสริมเกษตรกรรวมกลุ่มเลี้ยงไหมเช่น เลี้ยงจากอาหารแทนใบหม่อน ซึ่งสามารถลดต้นทุนการเลี้ยงไหม และระยะเวลาลงไป เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น |
บริษัทมียอดขายจากสินค้าในปี 59 จำนวน 100,000 บาท มีกำไร 50,000 บาท
สร้างรายได้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจเลี้ยงไหม บ้านหนองบัวแปะ เฉลี่ยต่อครัวเรือนประมาณ 12,000 บาท/เดือน (ขายให้บ.ที เจ เฮ้าส์ แค่บางส่วน) |
นอกจากจะเป็นธุรกิจใหม่ในพื้นที่และในอุตสาหกรรมหม่อนไหมแล้วธุรกิจนี้ยังถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อสุขภาพลดสารเคมีในเครื่องสำอาง
เปรียบเทียบกับการทำนาข้าวการเลี้ยงไหมจะทำให้เกษตรมีรายได้ที่สูงกว่าการทำนา 3 เท่าตัว |